นางเอก อดีตผู้รักษาความปลอดภัยอาชีพพบว่าเพื่อนสนิทของเธอที่เป็นนักบัลเลต์ถูกบีบให้ตายอย่างเหี้ยมโหดจากพวกคนของแก๊งมาเฟีย นางเอกจึงออกล่าล้างแค้นให้เพื่อนแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
ชื่อเรื่องของหนังที่แปลตรงตัวว่านักบัลเลต์นั้นอาจชวนให้สับสนนิด ๆ แม้ว่าจะเคยมีหนังที่ใช้ชื่อนี้มาหลายเรื่องแล้ว แต่ด้วยแนวหนังที่เป็นบู๊สมัยใหม่ก็อาจทำให้เข้าใจผิดกับ ‘Ballerina’ ที่เป็นหนังในจักรวาล ‘John Wick’ ที่คาดว่าจะฉายให้ดูหนังในปีหน้าอยู่เหมือนกัน อันนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการตั้งชื่อเรื่องเพียงอยากแจงไว้ก่อนกันสับสนเลย
หนังเป็นผลงานของผู้กำกับ อีชุงฮยอน (Lee Chung-Hyeon) ที่เคยมีผลงานระทึกขวัญสั่นประสาทที่ดีเด่นด้วยพลอตการไล่ล่าของสองสาวที่อยู่คนละช่วงเวลามาแล้วใน ‘The Call’ (2020) รอบนี้อีชุงฮยอนที่ได้โอกาสทำหนังเรื่องที่ 2 จึงไม่คิดมากและเอานางเอกที่น่าจะเป็นคู่ขวัญในงานของเขาไปแล้วอย่าง จอนจองซอ (Jeon Jong-seo) มารับบทนำอีกครั้ง ซึ่งสำหรับคอหนังเกาหลีชื่อเธอก็เชื่อขนมกินได้ในเรื่องคุณภาพการแสดง ชนิดที่ว่านักแสดงสาวหน้าใหม่อย่างเธอได้เล่นหนังเรื่องแรก ‘Burning’ (2018) ผ่านการเลือกมากับมือจากบรมครูเกาหลีอย่างผู้กำกับ อีชางดง (Lee Chang-Dong) เลยทีเดียว
ในเรื่องนี้จอนจองซอต้องรับบท นางเอก อดีตผู้รักษาความปลอดภัยอาชีพที่มีความเก่งฉกาจในเรื่องการต่อสู้ทั้งมือเปล่าทั้งติดอาวุธ ซึ่งก็อาจจะไม่ได้ขัดภาพบู๊นิ่ง ๆ ของเธอนักหลังจากไปรับบท โตเกียว ในซีรีส์ ‘Money Heist: Korea – Joint Economic Area’ (2022) มา แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือตัวละคร นางเอก มีเหตุให้สะบักสะบอมกว่าเยอะเพราะเธอเป็นแอ็กชันฮีโรแนวฉายเดี่ยว และมีการเข้าสู้สไตล์ดุดันรุนแรงว่องไวตามยุคสมัยนิยมไม่ต่างจากดูหนัง ‘John Wick’ เลยทีเดียว แต่ก็ยังพอมีที่ทางให้จอนจองซอได้ถ่ายทอดความอ่อนแอและใจดีสู้เสือที่ต้องงัดทักษะการแสดงมาช่วยไม่น้อย
สิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้เลยจากงานของอีชุงฮยอนเรื่องนี้คือ เขาผ่านงานหนังมาแค่ไม่กี่เรื่อง แต่มีความน่าดึงดูดในตัวเขามากขึ้นเรื่อย ๆ คือเริ่มจากเขียนบทหนังดัดแปลง ‘Heart Blackened’ (2017) แล้วก็ข้ามมากำกับหนังและเขียนบท ‘The Call’ เป็นเรื่องแรก ซึ่งน่าตื่นเต้นด้วยพลอตที่ซับซ้อนน่าดึงดูดด้วยวัยเพียง 30 ปีที่ถือว่ายังเด็กมาก ก่อนจะได้โอกาสต่อเนื่องมาทำหนังเรื่องนี้ ทว่าหนัง ‘Ballerina’ กลับไม่ได้โดดเด่นด้วยเรื่องของบทอย่างที่เราคาดหวังจากผลงานก่อนหน้า และเมื่อดูไปก็พอเข้าใจได้ว่ามันคือการท้าทายขีดจำกัดในการคุมโปรดักชันหนังบู๊เป็นโจทย์ใหญ่เสียมากกว่า
มันทำให้หนังเรื่องนี้มีบทที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย ค่อนข้างเข้าใจง่ายเสียด้วย คือนางเอกล้างแค้นแทนเพื่อน แต่ระหว่างทางก็มีการหยอดตัวละครที่น่าดึงดูดเข้ามา ทั้งตัวร้าย โปรชอย จากการแสดงของ คิมจีฮุน (Kim Ji-hoon) หรือ เดนเวอร์ จาก ‘Money Heist: Korea – Joint Economic Area’ ที่เหมือนหมาบ้าจนตรอกแต่ก็น่าหมั่นไส้และน่าหวาดกลัว, มินฮี เพื่อนสนิทที่มาตายไปที่ได้ ปาร์กยูริม (Park Yoo-Rim) จากหนัง ‘Drive My Car’ (2021) มารับบทก้ช่วยส่งความผูกพันและเป็นแรงขับให้นางเอกต้องล้างแค้นได้ดีตามเนื้อผ้า
แต่ก็ต้องยอมรับว่าดูหนังเรื่องนี้มีบางตัวละครที่น่าดึงดูดดี แต่ไร้ที่มาที่ไปและไม่ค่อยส่งผลกระทบกับเรื่องจำนวนมากไปหน่อย อย่างซีอีโอโจ ลูกพี่ของตัวร้ายที่ดูน่ากลัวมากแต่ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไร หรือบทนักเรียนสาวที่อยู่ดี ๆ ก็เข้ามาช่วยนางเอก ซึ่งก็ทำให้หนังมีด้านที่อ่อนหวานลดทอนความแข็งกระด้างของนางเอกบ้างแต่ก็รู้สึกเป็นส่วนเกินอยู่ ก็อาจมองได้ว่าเนื้อเรื่องมันน้อยจนเอาอะไรมาเติมก็ดูจะกลายเป็นน้ำส่วนเกินไปหมดได้เหมือนกัน มันเลยมีบางมุมที่รู้สึกเราไม่ได้อยากรู้ว่าตัวละครคิดอะไรรู้สึกอะไรแต่อยากดูการกระทำของพวกเขาเร็ว ๆ เลยมากกว่า ซึ่งก็เป็นจุดอ่อนของการเล่าเรื่องไปแบบดาบสองคม ดูเข้าใจง่ายแต่ก็ไม่ลุ้นอะไรด้วยนัก
แต่อย่างไรก็ตามหนังเรื่องนี้มีความน่าดึงดูดมาก ๆ ในการดูเรื่องดีไซน์ฉากต่อสู้ การเคลื่อนที่กล้องที่แปลกตา การตัดต่อที่ฉับไวได้อารมณ์เหมือนรับแรงกระแทกไปพร้อมตัวละคร คือมันตื่นตามากพอสมควร แม้จะยังไมถึงขั้นเรียกได้ว่านวัตกรรมทางภาพยนตร์เลย นอกจากนั้นมันยังมีเซนส์ความยียวนกวนความคาดหวังผู้ชมที่บ้าคลั่งเวอร์วังคล้ายหนังของ เควนติน ทารันทิโน (Quentin Tarantino) เสียด้วยในบางมุม